Q & A ถาม - ตอบ 10 ปัญหาสุขภาพและวิตามิน

22 Jul, 2020

 Q & A ถาม - ตอบ 10 ปัญหาสุขภาพและวิตามิน

กับคุณหมอต๋อง นพ.อมรศิษฐ์ พานศิลป์ และเภสัชกรชีค อนุชิต ตุงธนบดี

 

 Q1: มีปัญหาเวลาใส่แมสก์ ต้องใส่แมสก์เวลาต้องทำงาน แล้วก็เกิดสิวอักเสบ สิวแดงขึ้นบริเวณแก้ม แก้ไขอย่างไร ?

( คุณหมอต๋อง )

A: แมสก์ปกติ จะมีทั้งแบบแมสก์ผ้า และแมสก์กระดาษ ถ้าเกิดว่าทำงานที่ contact คนเยอะๆ แล้วก็ต้องอยู่กับคนป่วย แนะนำให้ใช้ surgical mask ปัญหาของ surgical mask คือ ตัวไส้ด้านในทำจากกระดาษ เพราะฉะนั้น โพลีเมอร์กลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งจริงๆจะมีตัวแผ่นกระดาษที่ค่อนข้างละเอียดมาวางรองบริเวณไว้ใต้แมสก์อีกรอบหนึ่ง สำหรับคนที่แพ้ ก็จะมีอาการแพ้น้อยลง และอย่างที่สองก็คือ การเปลี่ยนแมสก์บ่อยๆ จะทำให้การสะสมเชื้อโรคน้อยลง เปลี่ยนบ่อยมากแค่ไหน ทุกๆ 3 – 4 ชั่วโมงเปลี่ยน 1 อัน ทำให้บริเวณ infection บริเวณแก้มลดน้อยลง สิ่งที่ทำควบคู่ไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ การให้วิตามินซีเพราะว่า ถ้าคนที่แพ้แมสก์กระดาษ แพ้โปรตีน แพ้ไข่ดาว ส่วนใหญ่จะมาพร้อมๆ กัน เมื่อเกิดอาการแพ้ ตัวภูมิคุ้มกันจะผลิตสารมาต่อต้านสิ่งพวกนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม หรือ allergen การให้วิตามินซีโดยการรับประทานหรือการฉีด จะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น แล้วก็ไม่มี sensitize กับบริเวณแมสก์มากขึ้น อาการอาจจะไม่ได้หายขาดภายในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ แต่การใช้วิตามินซีหรือการเพิ่มภูมิเป็นประจำ จะช่วยทำให้อาการ sensitize ต่อตัว allergen ต่างๆดีขึ้น เพราะฉะนั้นอาการแพ้แมสก์ก็จะน้อยลง และถ้าเกิดว่าคนที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแมสก์ได้ หรือว่าราคาแมสก์ค่อนข้างแพง ก็สามารถไปใช้แมสก์ที่เป็นผ้าได้การใช้แมสก์ผ้าจะช่วยทำให้อาการแพ้น้อยลง

 

Q2: วิตามินสำหรับคนที่เป็นสิว มีกลไกยังไง ? และแตกต่างจากยา Isotretinoin ที่ใช้รักษาสิวอย่างไรบ้าง ?

( คุณเภสัชกรชีค )

A: สำหรับตัวยา Isotretinoin ก็คือ เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินมาว่าทานยารักษาสิว แล้วมีอาการปากแห้ง ผิวแห้ง ก็คือเป็นยาตัวนี้ กลไกทั้งตัวยาและวิตามิน แร่ธาตุที่ใช้สำหรับคนเป็นสิว ก็ควรจะมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ กลไกหนึ่งในการก่อให้เกิดสิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยับยั้งต่อมไขมันที่ทำงานผิดปกติไป หรือว่ายับยั้งตัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ให้เกิดสิว หรือว่า P. acnes เป็นต้น หรือว่ายับยั้งในกระบวนการก่อให้เกิด Hyperkeratinocyte หรือว่าก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน เรื่องของกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งตัวยา Isotretinoin หรือว่าตัวอนุพันธ์วิตามินเอก็จะออกฤทธิ์ทั้ง 4 กลไกนี้ ในปัจจุบันก็พบว่ามีสารสกัดบางตัว เช่น ตัวกีวี่ ที่มีสารสำคัญที่ช่วยยับยั้งผลจากการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากผิดปกติจากฮอร์โมน และในเรื่องการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ P. acnes ที่ทำให้เกิดสิว สารสกัดจากข้าวเองก็มีรายงานว่าช่วยในเรื่องของการปรับสมดุลผิว ความแข็งแรงของผิว การเจริญเติบโตของ keratinocyte ให้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นการทานวิตามินหรือว่าแร่ธาตุบางตัวก็มีประโยชน์สำหรับคนเป็นสิวเช่นกัน แต่ว่าข้อแตกต่างอย่างหนึ่งเลยก็คือ ตัวยา Isotretinoin เนื่องด้วยฤทธิ์ของยาตัวนี้ไม่จำเพาะ อาจจะทำให้เกิดอาการผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เจอได้บ่อย ก็เช่นอาจจะมีปากแห้ง ผิวลอก ตาแห้ง เป็นต้น แต่ว่าในส่วนของสารสกัดจากธรรมชาติหรือว่าวิตามินแร่ธาตุ ซึ่งเป็นปกติที่เราได้รับจากอาหารอยู่แล้ว จะพบว่าผลข้างเคียงตัวนี้จะไม่เกิดขึ้นหรือว่าเกิดได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการเลือกทานวิตามินหรือว่าแร่ธาตุเพื่อซัพพอร์ทในเรื่องของคนที่มีปัญหาเรื่องสิว

 

Q3: ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ถ้าทำไฮฟูแล้ว ช่วยเรื่องนี้ได้หรือไม่ และถ้าอยากมีกรอบหน้าที่ชัดขึ้น ควรทำอย่างไร ?

( คุณหมอต๋อง )

A: ตัวปัญหากรอบหน้าไม่ชัด แบ่งออกเป็น 2 ปัญหาที่แฝงอยู่ในนั้น ก็คือปัญหาของ fat หรือว่าไขมันส่วนเกินที่มีปริมาณมากเกินไปจนทำให้ส่วนบริเวณที่ควรจะ sharp หรือว่าควรจะชัดน้อยลง กับไขมันที่มันย้อยลง และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การทำงานของชั้นคอลลาเจนต่างๆ เริ่มน้อยลง การทำไฮฟู คำว่าไฮฟู ชื่อเต็มคือ High – Intensity focused ultrasound (HIFU)   กลไกของมันคือเข้าไปทำให้ตัวชั้น SMAS หรือว่าชั้นพังผืดใต้ผิวหน้ากระชับกลับขึ้นไป แต่เมื่อไรก็ตามที่คนไข้หรือว่าผู้ป่วย ยังมีชั้นไขมันที่หนาอยู่ การทำไฮฟูก็จะช่วยได้น้อยมาก เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่จะทำให้หน้ากรอบมีความชัดคือการลดน้ำหนัก และการลดน้ำหนักก็ต้องลดให้ถูกวิธี หลังจากนั้นชั้นไขมันจะบางลง และกรอบหน้าจะเริ่มชัดขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญตามมาคือ เมื่อไขมันลดลง มันจะเริ่มย้อยลง เพราะฉะนั้นการเก็บด้วยไฮฟูก็จะช่วยทำให้บริเวณหน้ามีกรอบชัดขึ้น แต่ปัญหาของคนที่มาด้วยกรอบหน้าไม่ชัดไม่ได้มีแค่นี้ บางคนทำไฮฟูมาแล้วหลายรอบหรือลดน้ำหนักมาแล้วหลายรอบ มันก็ยังไม่ชัดสักที เหตุผลเพราะว่าเป็นเรื่องของพันธุกรรม พันธุกรรมกับอายุ เมื่อเราอายุเยอะขึ้น การเผาผลาญน้อยลง ไขมันที่ควรจะมีมันไม่มี แล้วมันไปมีตรงที่ไม่ควรจะมี อย่างเช่น บริเวณมุมปาก บริเวณกรอบหน้า บริเวณนี้คนที่อายุเริ่มมากขึ้น ไขมันจะ deposit หรือสะสมบริเวณนี้มากขึ้น ดังนั้นการทำไฮฟูจะไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากมีกรอบชัดแค่อย่างเดียว ยังมีอย่างอื่นอีกด้วย เช่น การทำ meso fat การร้อยไหม หรือว่าการทำกลุ่ม Ulthera ก็จะเป็นอีกทางหนึ่ง สรุปคือการทำไฮฟูอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น ต้องลดน้ำหนัก ต้องสร้างคอลลาเจน แล้วก็ต้องเปลี่ยน modernity หรือว่าเครื่องมือแพทย์ไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายชิน แค่นี้กรอบหน้าก็จะชัดขึ้น

 

Q4: สามารถกินวิตามินหลายๆ ตัวพร้อมกันได้หรือไม่ ? และถ้ากินเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลข้างเคียงหรือไม่ ?

( คุณเภสัชกรชีค )

A: ก่อนอื่นที่จะบอกว่าทานหลาย ๆ ตัวพร้อมกันได้หรือไม่ ต้องรู้ก่อนว่าวิตามินที่ทาน เป็นประเภทไหนสามารถทานด้วยกันได้มั้ย เพราะว่าบางกลุ่มทานพร้อมกันก็จะเพิ่มการดูดซึมและเพิ่มประสิทธิภาพของกันและกัน อย่างเช่น การทานวิตามินซีคู่กับธาตุเหล็กจะช่วยเพิ่มในเรื่องของการดูดซึมของธาตุเหล็กได้มากขึ้น แต่ว่าการทานวิตามินหลายๆ ตัวคู่กัน ก็กลายเป็นว่าไม่เกิดผลดี เช่น การทาน Zinc ร่วมกับแมกนีเซียม แคลเซียมพวกนี้จะแย่งการดูดซึม ทำให้วิตามินแต่ละตัวดูดซึมได้ลดลง ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะมีทางแก้ได้ก็คือ การแยกทานมื้อให้ห่างกัน หรือว่าไปเลือกทานในรูปแบบที่ลดการตีกันของวิตามิน อย่างเช่น ในปัจจุบันก็จะมี Zinc ในรูปแบบ Chelate ซึ่งก็คือการนำเอากรดอะมิโนมาหุ้มตัวประจุของ Zinc ไว้ ทำให้ลดโอกาสในการตีกันกับวิตามินหรือว่าแร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งลดการจับของ Zinc ที่จะไปเจอ phytate ในผัก แล้วลดการดูดซึมได้ ส่วนคำถามที่ว่าทานต่อเนื่องนานๆ จะเกิดผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ก็อาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยในเรื่องของปริมาณที่ทานว่าเกินที่ร่างกายต้องได้รับหรือไม่ ถ้าเกินก็มีโอกาสสะสม โดยเฉพาะวิตามินที่ละลายในไขมันได้ เช่น A D E K พวกนี้ก็จะมีโอกาสสะสมได้มาก แต่ถ้าเกิดทานในปริมาณน้อยๆ เพียงพอต่อร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำหรือในไขมันก็ตาม ถ้าได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ ก็สามารถทานต่อเนื่องได้ทุกวัน ไม่เกิดอันตรายกับร่างกาย

 

Q5: ผิวหน้าแพ้ง่าย หยุดแต่งหน้าก็แล้ว ก็ยังมีผื่นแดง อากาศร้อนก็จะยิ่งมีผื่นแดงมากขึ้น แก้ไขอย่างไรบ้าง ?

( คุณหมอต๋อง )

A: ปัญหาผิวแพ้ง่าย หมอมองลงไปถึงปัญหาของระบบภูมิคุ้มกันของตัวคนไข้ว่าภูมิคุ้มกันของเรามีความไวต่อสิ่งแวดล้อมเยอะเกินไป ประกอบกับภาวะผิวด้านบน หรือว่า surface ด้านบนของผิวมีความอ่อนแอ ในแต่ละช่วงอายุมีความต่างกัน โดยเฉพาะคนที่อายุเยอะมากขึ้น ผิวค่อนข้างแห้ง ผิวขาดน้ำ เป็นกลุ่มที่ช่วยทำให้เกิดความไวและแพ้ง่าย ซึ่งสิ่งที่คนไข้ทำก่อนอันแรกคือ หยุดแต่งหน้า แต่ต้องมีอะไรไปเคลือบผิวไว้ อย่างเช่น การเพิ่มความชื้น การทากันแดด การเพิ่มความชื้นของผิว อาจเพิ่มด้วยการทานน้ำให้เยอะ เยอะแค่ไหน ส่วนใหญ่ที่หมอแนะนำคนไข้คือ ทานจนกระทั่งปัสสาวะสีใส อันนี้คือเท่ากับร่างกายได้น้ำเพียงพอแล้ว เมื่อเติมน้ำในร่างกายเพียงพอแล้ว ก็ต้องมาเติมจากด้านนอกเข้าไปด้วย ก็คือการทา moisturizer ที่ดีที่สุดคือ moisturizer ที่ปราศจากเครื่องสำอาง แล้วก็ซึมได้เร็ว ตัว moisturizer ส่วนใหญ่ในคลินิกทั่วไปมักจะใช้ Aloe vera ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า moisturizer ตัวนี้ไม่ทำให้ผิวไว หรือมีอาการแพ้เร็ว เพราะฉะนั้นการใช้   Aloe vera pure หรือที่เรียกว่า soothing cream จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย ส่วนครีมกันแดดเรารู้อยู่แล้วว่า ต้อง SPF 50 – 60 แต่ว่าถ้าเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย ขอแนะนำว่าก่อนที่จะลงครีมกันแดด ลง moisturizer ให้เต็มที่ก่อน จากนั้นค่อยลงกันแดด ครีมกันแดดก็อาจจะเลือกตัวที่มี chemical protection สูงกว่า การไปเลือกตัว physical protection สูง อาจจะทำให้คนไข้หรือผู้ป่วยแพ้โลหะหนักที่ผสมอยู่ในครีมกันแดดได้

อันที่สามกลุ่มวิตามิน ทำไมหมอถึงโฟกัสเรื่องกลุ่มวิตามิน เพราะว่าเราต้องการปรับระบบภูมิร่างกายไม่ให้ไวเกินไป อย่างเช่น การใช้วิตามินซี high dose การใช้เบต้ากลูแคนเพื่อกระตุ้นให้ระบบร่างกาย คิดว่ามีเชื้อโรคเข้ามาแล้วก็สร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น

หรือว่าสุดท้ายคือการใช้พวกกลุ่ม antioxidant antioxidant สมัยก่อนเราพูดถึงแต่วิตามินซี แต่ตอนหลังเรามีอีกหลายตัว อย่างเช่น การใช้ butyric acid การใช้ gluta การใช้ตัวสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน หรือว่าสาหร่ายสีแดง ที่เรียกว่า astaxanthin

สุดท้ายคือ การเลือกใช้ modernity หรือการใช้เครื่องมือแพทย์ที่เหมาะสมกับผิว สภาพผิวในคนผิวแพ้ง่าย ห้ามใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีความร้อนสูง เลเซอร์ต้องอยู่ในกลุ่มของเลเซอร์เย็น การใช้ ultrasound อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี หรือว่าการเว้นระยะการทำทรีทเมนท์นานกว่าผิวหน้าปกติ ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง

 

Q6: ถ้าให้นมลูกอยู่ สามารถทานวิตามินได้ไหม ?

( คุณเภสัชกรชีค )

A: อาจจะต้องดูคุณสมบัติของวิตามินที่ทานก่อน อย่างแรกขอแบ่งเป็นวิตามินที่ขับออกทางน้ำนม และก็ไม่ขับออกทางน้ำนม สำหรับวิตามินที่ไม่ขับออกทางน้ำนม ถ้ามีข้อมูลแบบนี้ เราก็สามารถทานได้ และก็สามารถให้นมลูกได้ ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร แต่ถ้าเป็นวิตามินบางตัวที่ขับออกทางน้ำนม อาจจะต้องดูว่าปริมาณที่ขับออกมานั้น มันมากจนเกิดพิษต่อเด็กทารกหรือเปล่า หรือว่าออกทางน้ำนมได้ แต่ปริมาณที่ทานก็ทำให้เป็นประโยชน์ต่อเด็กทารก ซึ่งเราก็พบว่าสารสกัดหรือว่าวิตามินบางตัว เช่น สารสกัดจากธรรมชาติที่ให้สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ เควอเซติน ซึ่งสามารถพบในสารสกัดกีวี่ หรือสารสกัดจากข้าว หลังจากทานก็สามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ รวมทั้งในเรื่องของแร่ธาตุบางตัว เช่น Zinc หรือว่าในกลุ่มของวิตามินบี สามารถทานไปแล้วก็ให้นมบุตรได้ตามปกติ เพราะว่าในเด็กทารกเองหรือเด็กๆ เขาก็ต้องการในเรื่องของวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ที่จำเป็นในเรื่องของการเจริญเติบโต และการพัฒนาระบบประสาท รวมถึงสมองของเขาเช่นกัน

 

Q7: ผู้ชายวัย 30 ปี เริ่มรู้สึกมีปัญหาเรื่องรูขุมขน ใบหน้าบริเวณแก้ม ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน สิวอุดตันบริเวณจมูก มีเยอะมากขึ้น รักษาแบบไหนเห็นผลดีที่สุด ?

( คุณหมอต๋อง )

A: จริงๆ ไม่ว่าในผู้ชายหรือผู้หญิงที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป สิ่งที่คนกังวลส่วนใหญ่คือ รูขุมขนกว้าง แต่จริง ๆ ปัญหาของรูขุมขนกว้าง มันคือปัญหาของคอลลาเจนที่น้อยลง ในปัจจุบันวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาเกี่ยวกับพวกการทำ Texture ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูขุมขน ริ้วรอยตื้น หรือว่ารอยหลุมสิว การรักษาด้วยการทำ Fractional เป็นการรักษาที่ดีที่สุด แต่ว่า Fractional ปัจจุบันในท้องตลาดมีหลายประเภทมากมาย เพราะฉะนั้นการเลือกชนิดย่อยของ Fractional ต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ปัจจุบัน Fractional RF จะมีผลดีสำหรับคนที่หน้า sensitive ง่าย แต่ข้อเสียคือเห็นผลช้า คนไข้ต้องทำหลายครั้ง เท่าที่หมอสังเกต ส่วนใหญ่คนไข้จะรู้สึกดีในช่วงสัปดาห์แรก และหลังจากนั้นการรักษาจะค่อยๆ ดาวน์ลง แต่มันจะดีขึ้นเป็นแบบขั้นบันได เพราะฉะนั้นการรักษาต้องทำ 10 – 15 ครั้งถึงจะดี ซึ่งถ้าเปรียบเทียบ Fractional RF กับ Fractional Erbium หรือว่า Erbium YAG กลุ่มนี้เป็น Fractional ที่ไว้ทำหลุมสิว และรูขุมขนกว้าง เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่ข้อเสียของ Fractional Erbium คือหลังทำเสร็จ คนไข้จะมีสะเก็ดเกิดขึ้น และหลังจากสะเก็ดหายไปก็จะมีการลอก เพราะฉะนั้นอันนี้เหมาะสำหรับคนไข้ที่ผิวแข็งแรงดี มีน้ำใต้ผิวเยอะ เซลล์ผิวพร้อมผลัด การรักษาก็จะเห็นผลเร็ว และก็ใช้การรักษาไม่กี่ครั้ง

Fractional Q – Switch เป็นอีกตัวหนึ่งที่ค่อนข้างนิยมในปัจจุบัน แต่ว่า Fractional Q – Switch เหมาะสำหรับคนที่มีเม็ดสีร่วมด้วย เช่น คนที่มีหลุมสิว และมีฝ้า หรือว่ามีกระด้วย เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถยิง Fractional Erbium ได้ เพราะ act Fractional Erbium เกิดความร้อนเยอะ ฝ้าอาจจะดำขึ้น เราก็จะเปลี่ยนมาใช้เป็นกลุ่ม Fractional Q – Switch แทน

และสุดท้าย ตัวใหม่ที่เข้ามาในท้องตลาดคือ กลุ่ม Pico กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พัฒนาหลังจากกลุ่ม
Q – Switch เอามาทำพวกหลุมสิว และ skin texture ได้ดี Pico ตอนนี้ยังมีราคาค่อนข้างแพง ถ้าเทียบกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น จากที่หมอบอกมาทั้ง 4 ประเภท การทำ Fractional ดีสุดเป็นคำตอบ แต่ว่าประเภทไหนของ Fractional ก็จะขึ้นอยู่กับสภาพผิว ซึ่งคุณหมอก็จะวิเคราะห์ให้ และประเมินให้ในแต่ละครั้งของการรักษา

 

Q8: คนที่เป็นผื่นภูมิแพ้นิกเกิลจากอาหารสามารถกินอาหารเสริมจากวิตามินซีได้ไหม ?

( คุณเภสัชกรชีค )

A: เป็นคำถามสำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องของการแพ้นิกเกิลที่เป็นธาตุตัวหนึ่งที่อาจพบได้ในอาหาร ซึ่งก็แทบจะทุกชนิด อาจจะมีในปริมาณน้อยมากๆ แต่สำหรับคนที่แพ้นิกเกิล หลังจากที่ทานไปแล้ว ก็อาจจะมีอาการแสดงออกในเรื่องของผื่น แต่ที่พบได้มากกว่า ก็อาจจะเป็นการแพ้จากการสัมผัส เช่น ใช้เข็มขัด ใช้จิวเวอร์รี่ที่มีนิกเกิล ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้เหมือนกัน แต่สำหรับคนที่แพ้นิกเกิลจากอาหาร วิธีการทางปฏิบัติหนึ่งก็คือการเลือกทานอาหารที่มีนิกเกิลปริมาณต่ำ เพื่อให้ได้รับนิกเกิลปริมาณต่อวันน้อยที่สุด ก็จะลดอาการแสดงออกหรือว่าลดการตอบสนองตัวนี้ลงได้ จริงๆแล้วการทานวิตามินซีในกลุ่มคนที่แพ้นิกเกิลในอาหาร พบว่ามีประโยชน์มากว่าซะอีก เพราะว่าวิตามินซีจะช่วยลดการดูดซึมของนิกเกิลในอาหาร การทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง หรือการทานวิตามินซีเสริมเข้าไปในมื้ออาหาร ก็จะช่วยลดการดูดซึมนิกเกิลลง เพราะฉะนั้นก็จะทำให้อาการแสดงออกของโรค หรือว่าอาการของภูมิแพ้ในผู้ป่วยมีอาการลดน้อยลงไป ก็ถือว่ายิ่งมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็ควรเลือกซื้อวิตามินซีจากบริษัทหรือว่ายี่ห้อที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานเพื่อลดโอกาสในการได้รับแร่ธาตุที่ร่างกายไม่ต้องการ และเพื่อลดโอกาสในการเกิดพิษในอนาคตต่อไป

 

Q9: นอกเหนือจากการทำเลเซอร์เพื่อรักษา hemangioma แล้วมีวิธีการอย่างอื่นอีกไหม และการดูแลหลังจากทำเลเซอร์ไปแล้วควรทำอย่างไร ?

( คุณหมอต๋อง )

A: จริงๆคำว่า hemangioma ก็คือปานแดง hemangioma มีการรักษามาอย่างยาวนาน แล้วก็เปลี่ยนแปลงเลเซอร์มาค่อนข้างหลาย generation การรักษาที่ดีที่สุดของ hemangioma ตอนนี้คือการใช้เลเซอร์แสงสีเหลือง ช่วงคลื่นอยู่ประมาณ 700 กว่าๆ มีหลายแบรนด์ในท้องตลาด แต่ว่าการรักษาก็จะเห็นผล ถ้าตื้นๆ สามารถเห็นได้เกือบ 100 % แต่ถ้าเป็น hemangioma ที่ลึกว่านั้น ก็อาจจะเห็นผลประมาณ 50 – 70 % ตอนนี้ยังไม่มีนวัตกรรมอื่นในการรักษา hemangioma ที่เห็นผลเร็วกว่าการทำเลเซอร์ เนื่องจาก hemangioma เป็นเรื่องของเส้นเลือด เพราะฉะนั้นการรักษาต้องเลือกเครื่องมือที่มีความเฉพาะเจาะจง เลเซอร์ทั่วไปทำไม่ได้ หรือว่าอาจจะทำได้ แต่อาจจะเกิดผลข้างเคียงอย่างอื่นตามมา ถ้าไม่ได้เป็นเลเซอร์ที่เจาะจงอาจเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้ เพราะฉะนั้นการใช้เลเซอร์แสงสีเหลืองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และที่หมอใช้คำว่าทันสมัยที่สุด
ณ ปัจจุบันที่เรามี ส่วนวิธีการดูแล หมอจะกล่าวถึงการดูแลหลังการทำเลเซอร์ทั่วๆไป ที่จะทำให้คนไข้จำได้ง่าย ก็คือเมื่อหลังจากทำเลเซอร์เสร็จ ควรหลีกเลี่ยง 2 สิ่งคือ เลี่ยงร้อนจัด และเลี่ยงแดดจัด อันนี้ต่างกัน เลี่ยงร้อนจัด อาจจะเป็นกลุ่มของสตรีม ซาวน่า การทำโยคะร้อน หรือว่าการอาบน้ำอุ่นที่ร้อนจัด
1 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ต้องเลี่ยง ส่วนการโดนแดด หลังทำเลเซอร์ถ้าไม่ใช่ในกลุ่ม Fractional คนไข้สามารถโดนแดดได้ 5 - 10 นาทีพอได้ แต่อย่าถึงขนาดไปออกต่างจังหวัดที่ตากแดดเป็นชั่วโมง หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬากลางแจ้ง ที่โดนแดดจัดๆ เช่น การตีกอล์ฟ หรือว่าการดำน้ำดูปะการัง แต่ถ้าเดินไปทานข้าวซื้อของสามารถโดนแดดได้ คนไข้สามารถทาครีมกันแดดตอนเช้า 1 รอบ และก่อนออกไปโดนแดดจัด 1 รอบ ส่วนแดดที่สามารถโดนได้จริงๆ ในช่วงทำเลเซอร์ หมอขอบอกว่าไม่มี คือเราต้องเลี่ยงแดด แต่การเลี่ยงอาจจะใช้ร่ม หรือว่าหนังสือปิด แล้วก็ออกไปทานข้าว อันนี้พอรับได้ ยกเว้นอย่างเดียวที่หมอ บอกคือการทำ Fractional อันนี้คนไข้จะโดนแดดไม่ได้เลย

 

Q10: คนเป็นภูมิแพ้สามารถทานวิตามินตัวไหนได้บ้าง ?

( คุณเภสัชกรชีค )

A: แนะนำให้ทานในกลุ่มของวิตามินซี อันนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่นอกจากนี้ก็ยังมีตัวอื่น ๆ เหมือนกัน ก็คือตัวเบต้ากลูแคน ที่ให้ผลในเรื่องของการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เป็นตัว boost ภูมิขึ้นมา ช่วยสร้างตัวเม็ดเลือดขาว มากำจัดสิ่งแปลกปลอม แล้วก็ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ซิลิเนียม ก็ช่วยในเรื่องของการซัพพอร์ทระบบภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกัน วิตามินอื่นๆ เช่น Zinc กลุ่มวิตามินบีรวมพวกนี้ก็จำเป็นในการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แร่ธาตุเหล็ก โฟเลตเองก็ใช้ในการสร้างเม็ดเลือดขาว จำเป็นต่อการทำงานของระบบเม็ดเลือดแดงที่ช่วยซัพพอร์ทระบบขนส่ง ระบบภูมิคุ้มกันพวกนี้ให้ทำงานเป็นปกติ เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญหาในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน หรือว่าคนที่เป็นภูมิแพ้ ก็เลือกทานวิตามินหรือว่าแร่ธาตุเหล่านี้ได้ นอกจากนี้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดในพืชตระกูลส้ม ก็ให้ผลในเรื่องของฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็เรื่องของระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน สามารถเลือกทานดูได้

 

   

Service Recommend 6 Program

PROGRAM DESCRIPTION PERIOD
Q-SWITCH เลเซอร์ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ 45 นาที
FOTONA ACNE SCAR เลเซอร์ลดหลุมสิว ผิวเรียบเนียน 45 นาที
THERMAGE ยกกระชับใบหน้า 45 นาที
GOLD LASER เลเซอร์ลดรอยแดง ผิวกระจ่างใส 60 Min
HIFU FULL FACE ยกกระชับใบหน้า 60 นาที
VENUS VEVA GOLD ลดเลือนริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย 45 นาที
  • line-share
  • copy-url
icon Line Top